http://www.thejazzresource.com/images/bluesguitar.jpg |
คนที่ไม่รู้จักเพลงบลูส์เป็นเช่นไรติดตามกันค่ะ
เพลงบลูส์ต้นกำเนิดมาจากคนผิวดำ สมัยก่อนพวกทาสในอเมริกาใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและความทุกข์ สมัยนั้นทาสก็เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงวันๆทำแต่งานอย่างเดียว โดนกดขี่ เหยียดสีผิว ลิดรอนสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ทั้งๆที่ไม่ได้แตกต่าง แค่สีผิวเท่านั้น.. พวกเขาได้นำตัวมาจากฝั่งตะวันตกกลางและฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา บังคับใช้แรงงานทางเกษตรกรรมตอนใต้ของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐ นิวออร์ลีน หลุยเซียนา เวอร์จิเนีย พวกเขาไม่มีสิทธิ์ได้เรียนหนังสือ แม้แต่การอ่านหรือเขียน เมื่อเจ็บป่วยไม่มีสิทธิ์ไปแม้แต่โรงพยาบาลเพื่อจะได้รับการรักษา และพวกเขาทำได้อย่างเดียวก็คือหันไปพึ่งสิ่งเหนือธรรมชาติหรือคนไทยเราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ และยังไม่มีสิทธิ์รวมกลุ่มประกอบพิธีศาสนาอีกด้วย แม้แต่วัฒนธรรมของพวกทาสก็ยังถูกกำจัดให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง เว้นแต่บางสิ่งบางอย่างเท่านั้นก็ยังเหลือไว้เพื่อประโยชน์ต่อนายทาส พวกทาสต้องนับถือศาสนาคริสต์และละทิ้งศาสนาหรือความเชื่อของตนเองทั้งหมด ความป่าเถื่อนของเรือบรรทุกทาส การประมูลทาสเยี่ยงสัตว์ป่า การใช้แรงงานทาสอย่าทารุณ ล้วนเป็นการทำลายจิตใจของพวกเขามาก (ชาวแอฟริกัน) เสียงเพลงที่เค้นออกมา คนฟังจะรู้สึกได้ว่ามันบีบคั้นอารมณ์ยิ่งนักเพราะเนื้อหาเพลงทุกๆเพลงคือเพลงที่เอามาจากเรื่องจริงไม่ได้แต่งเติมอย่างใด ชีวิตที่ทรมาณของพวกเขาทำได้เพียงส่งผ่านบทเพลงบลูส์ ซึ่งที่เพลงบลูส์นั้นคือเพลงที่ไว้สะท้อนอารมณ์ได้อย่างดี
ระหว่างช่วงปี 1861-1865 สงครามกลางเมืองหรือในภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่า Civil War ระหว่างอเมริกาเหนือกับอเมริกาใต้ได้ปะทุขึ้นด้วยฉนวนที่ถูกจุดล่วงหน้ามาหลายปีแล้ว สาเหตุก็ยังบอกไม่ได้เพราะว่าอะไรแต่เชื่อว่าอาจจะมีเหตุผลคือ "ระบบเลิกทาส" อเมริกาใต้ไม่เห็นด้วยแต่สุดท้ายอเมริกาเหนือก็ได้รับชัยชนะ สงครามจบ กฏหมายเลิกระบบทาสในอเมริกาถูกประกาศในปี 1865 หลังจากได้รับการปลดปล่อยแล้วพวกเขายังทำงานอยู่เหมือนเดิมแต่ได้รับค่าจ้างไม่ได้โดนกดขี่เหมือนก่อนหน้านี้ สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ ครอบครองทรัพย์สินได้ และเริ่มสร้างวัฒนธรรมของตนเองและยังไม่เว้นวัฒนธรรมทางด้านดนตรี และทำให้เพลงบลูส์ได้มีต้นกำเนิด สไตล์การร้องเพลงบลูส์นั้นได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ความขมขื่น ความรวดร้าว ความเศร้าโศกจากครั้งยังเป็นทาส เพราะตอนที่ยังไม่ได้เลิกทาสนั้นพวกเขาชอบร้องเพลงพร้อมกันเพื่อจะได้ทำงานให้เร็วขึ้น พวกเขาจะมีการร้องด้วยเสียงที่ดังลั่นที่มีทั้งเสียงทุ้มและต่ำจนถึงเสียงที่สูงมาก เมื่อคนอื่นร้องจบอีกคนก็จะสอดแทรกขึ้นมาทันที ทีละคนสองคนสามคนจนกลายเป็นทุกคน การร้องเพลงแบบนี้เรียกว่าฮอลเลอร์ (ก้องกังวานอย่างโหยหวน) ไม่สามารถกำหนดได้อย่างแน่นอนว่าเป็นเช่นไรเพราะจะมีการแหวกแนวออกไปเรื่อยๆ เพลงบลูส์จะไม่แต่งเติมเนื้อร้องหรืออะไรอย่างอื่น จะร้องมาจากอารมณ์ของตนเอง เมื่อความโศกเศร้าต่างๆได้ผ่านไปก็สามารถเพลิดเพลินกับเพื่อนๆได้ ถึงแม้เขาจะผ่านความเศร้าไปได้แต่มนุษย์ทุกคนก็คงยังลืมไม่ได้ทั้งหมดและอเมริกาก็ยังคงไม่ได้เลิกทาสอย่างสมบูรณ์แบบ เพลงบลูส์ก็ยังคงเจือปนน้ำเสียงเศร้าของผู้ร้องได้ดี
อเมริกาก็ยังสร้างระบบสองมาตรฐานหรือเรียกง่ายๆว่าไม่เท่าเทียมกันอยู่ดี ถึงแม้คุณภาพชีวิตอาจจะไม่ได้ตกต่ำหรือแย่เหมือนแต่ก่อนแล้วแต่อย่างไรก็ตามคนที่เคยเป็นเจ้าคนนายคนมาก่อนหน้านี้ จะให้มาใช้ชีวิตเท่ากันกับคนที่เขาเคยใช้งานแล้วเรียกว่าทาสได้อย่างไร? เพราะพวกเขายอมรับไม่ได้ถ้าหากตัวเองอยู่สูงแล้วมาเท่าเทียมกับคนที่เคยต่ำกว่าตน ชาวผิวดำถ้าไม่ได้ลองเจาะรายละเอียดแล้วก็เหมือนมีสิทธิ์เท่าคนทั่วไป ไม่ว่าทางด้านสังคมหรือเศรษฐกิจแต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังแบ่งชนนั้นกับพวกชาวผิวดำอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นการทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมหรือไร้มารยาทด้วยการนั่งห่างจากชาวผิวดำอย่างชัดเจนในที่สาธารณะ ร้านอาหาร โบสถ์ หรือ โรงภาพยนตร์ ห้องสุขายังต้องแยกประตูทางเข้า การบริการก็ยังไม่ยอมรับชาวผิวดำอย่างชัดเจน ทั้งๆที่พวกเขามีสิทธิ์แล้วตามกฏหมายที่ได้กำหนดไว้ แต่พวกเขายังกลับโดนปฏิเศธไม่ว่าจะเป็นการรักษาทางการแพทย์ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องไปพึ่งไสยศาสตร์และไม่มีทางหายดีแต่พวกโรงพยาบาลก็ยังที่จะปฏิเศธกับพวกเขาในเรื่องการรักษา หรือจะเป็นการกู้เงินจากธนาคารที่ไม่ยอมอนุมัติให้พวกเขาได้กู้เงินซักนิดเดียว บริษัทบางที่ก็ยังไม่รับชาวผิวดำเข้าทำงานและทุกคนก็ยังคงอยู่ในชีวิตที่จะเลือกปฏิบัติอย่างแตกต่างกับชาวผิวดำ ทำให้เพลงบลูส์นั้นยังไม่คงจางหายไป ยังคงกลิ่นไอความเศร้าอยู่ไม่หายเพราะสังคมอเมริกานั้นยังไม่ได้ยอมรับพวกเขาอย่างชัดเจน หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้วถึงจะหายดี ถ้ากดซ้ำลงแผลนั้นๆถึงไม่แรงมากเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ถ้ายังกดซ้ำๆยังไงแผลนั้นก็ยังคงไม่หายไปอยู่ดี
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/5/50/Cicatrices_de_flagellation_sur_un_esclave.jpg |
http://filipspagnoli.files.wordpress.com/2009/04/slavery-black-slaves-back-littered-with-scars-from-whipping.jpg |
เพลงพวกเขาถ้าฟังเผินๆไม่ได้เจาะรายละเอียดถึงความหมายของเนื้อเพลงนั้นๆ
อาจจะคล้ายเหมือนเพลงคันทรี่ของชาวผิวขาวแต่ไม่เลย เพลงคันทรี่นั้นแสดงถึงการมองโลกในแง่ดี
หรือเปรียบเทียบง่ายๆคือการมองโลกคนละมุมโดยอย่างสิ้นเชิง คนผิวขาวจะละเมอเพ้อพกฝันในเนื้อเพลงมากกว่า จะไม่ค่อยเนื้อเพลงรันทดหรือเศร้าเท่ากับเพลงบลูส์เพราะมันเอามาจากชีวิตจริงไม่ได้แต่งเติมให้เราเข้าไปในเนื้อเพลง เพลงบลูส์ความหมายของมันคือความหมายของอีกชีวิตคนหนึ่ง บ่อยครั้งที่เนื้อเพลงบลูส์จะวนเวียนอยู่ที่ความรันทดของชีวิต และโดนการกระทำรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง เพลงบลูส์เริ่มขยายออกไปมากขึ้น และถึงแม้ผลงานเขาจะได้เป็นที่เผยแพร่ก็ยังไม่วายโดนชาวผิวดำตัดคำจากเพลงไม่ให้เป็นที่โดนด่าของเพลงบลูส์ การที่เพลงบลูส์จะได้ดังจริงๆยากมากเพราะโดนกีดกันและอคติจากใจคนในสมัยนั้น เพลงที่ทำให้เพลงบลูส์เป็นที่รู้จักก็คือ Dallas Blues ที่เขียนโดย Hart Wand ถึงแม้เพลงพวกเขาจะเผยแพร่ออกไป แต่ยังไงกำไรก็คงไม่เว้นชาวผิวขาวที่ได้กีดกันและมีสิทธิ์จะปล่อยเพลงอะไรออกมาก็ได้ในสังคม ถึงแม้จะยากลำบากแต่ถ้าทำอะไรด้วยใจแล้วมันก็คงต้องสำเร็จเข้าซักวัน มันต้องมีวันของเราแม้มันจะเดินทางไปไกลก็ตาม
http://www.examiner.com/images/blog/wysiwyg/image/slavery_by_another2.jpg |
แต่สุดท้ายความสำเร็จก็ได้ออกจนได้ ทางรัฐก็ยอมที่จะให้เพลงบลูส์เป็นที่ยอมรับและกีดกันการเหยียดสีผิวในสังคมอย่างไรก็ตามหัวใจของคนถ้าโดนทำร้ายมากมากความเจ็บมันก็ยังคงไม่ไปไหนไกล เพลงก็ยังชอกช้ำ หัวใจคนก็ยังเจ็บปวด แต่ก็ยังดีที่พวกชาวผิวขาวสนับสนุนห้ามการเหยียดผิวมากขึ้น ถึงแม้เพลงบลูส์ ณ ตอนนี้จะไม่เหมือนเดิมแล้ว อาจจะไม่ได้เขียนโศกเศร้าเหมือนแต่ก่อน ไม่ได้มีคำร้องที่มาจากชีวิตรันทดของตนเองจริงๆ แล้วทุกคนที่ได้ฟังเพลงบลูส์มาตั้งแต่ต้น หรือเป็นแฟนคลับของเพลงบลูส์นั้นจะได้รู้เลยว่าความเศร้าของเพลงบลูส์นั้นจริงๆยังไม่เจือหายไปไหนไกล และทุกวันนี้เราก็ได้เห็นชาวผิวดำได้เป็นที่ยอมรับไม่ว่าจะเป็นวงการนางแบบ (ซึ่งกัดฟันมาไม่น้อยเช่นเดียวกัน และเอเชียอย่างเราก็กดดันไม่แพ้เขาแต่น้อยกว่าเขาอย่างแน่นอน) นักร้อง หรือจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ทุกวันนี้ชาวผิวขาวก็ได้เห็นแล้วว่าชาวผิวดำก็มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นไม่แพ้พวกคุณแต่อย่างใด หรือจะเป็นคนดังอย่าง Martin Luther King Jr. ที่เขาได้กล่าวไว้ว่าอยากมีชีวิตปรกติสุขกับชาวผิวขาวบ้างหรือไม่แพ้คนนี้จริงๆก็คือ Halle Berry ที่ได้รับรางวัลออสการ์และร่ำไห้พร้อมพูดว่าเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของออสการ์ที่มีชาวผิวสีได้รับเป็นครั้งแรกแต่ก็ยังมีนักร้องอีกคนที่เราขาดไปไม่ได้ก็คือ "Michael Jackson" นักร้องคุณภาพระดับก้องโลก