เอ็ดการ์ อัลลัน โปเกิดวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1809 ที่เมืองบอสตัน แมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นบุตรชายของเดวิด โป จูเนียร์ (David Poe, Jr.) และอลิซาเบธ ฮอปกินส์ โป (Elizabeth Arnold Hopkins) ผลงานของโปส่วนมากนั้นจะเป็นเรื่องแนวฆาตรกรรม ลึกลับ เหนือธรรมชาติ สืบสวน รวมถึงยังเป็นนักเขียนคนสำคัญที่ร่วมบุกเบิกนิยายแนววิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นของใหม่ในเวลานั้นให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นคนแรกที่บุกเบิกคดีหรือสืบสวนอีกด้วย พ่อแม่ของโปนั้นได้เสียชีวิตตอนโปอายุเพียง 3 ขวบทำให้เขาเป็นเด็กกำพร้าและได้มีคนมาอุปถัมภ์ไปนั้นก็คือ จอห์นและฟรานเซส อัลลัน (John & Frances Allan) โปนั้นเป็นคนที่ยึดถืออาชีพนักเขียนเป็นหลัก หรือเรียกง่ายๆว่า ไส้แห้งจริงๆ โปมักเขียนเรื่องเกี่ยวกับความตายเพราะเขาเสียคนรักของเขาไปตั้งแต่เล็กๆ นี้อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โปนั้นเป็นนักเขียนที่ดาร์กสุดกู่จริงๆ โปเป็นนักเขียนที่จะเขียนผลงานให้กับผู้หญิงทุกๆคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตเขาไม่มากก็น้อยและยังเป็นเคสตัวอย่างที่ต้องมีการจดลิขสิทธิ์ของผลงาน เพราะผลงานที่ถูกตีพิมพ์ของโปนั้นเขาไม่ได้แม้ค่าลิขสิทธิ์ซักนิดเดียว
โปยังเป็นที่เคารพของ Stephen King เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเรื่องสืบสวนแนว Sherlock Holmes ในตัวละคร Auguste Dupin นักเขียนที่ได้รับอิทธิพลมาจากโปเยอะที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือ HP. Lovecraft
- 1815 ครอบครัวโปย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเพื่อขยายธุรกิจ และนี้ส่งผลกระทบต่อผลงานเขียนของเขาอย่างมาก สังเกตได้จากนิยายจะเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นในแถบยุโรป
- 1820 ต้องย้ายกลับไปประเทศอเมริกาเพราะว่าธุรกิจยาสูบนั้นล้มละลาย เช่นเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่องานของโปเป็นอย่างมากและเป็นแรงผลักดันให้โปเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอกเป็นคนรวยแต่ต้องตกอับ
- 1824 เป็นปีที่เพื่อนของโปได้เสียชีวิตลง เพราะในปี 1820 เขาได้กลับไปเมืองริชมอนด์และได้เรียนโรงเรียนเอกชน ทำให้เขาได้เจอเพื่อเธอคนนี้ และหลังจากเธอเสียชีวิตลงทำให้โปหดหู่เป็นอย่างมาก
- 1825 โปได้เข้ามหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ผลการเรียนดีแต่ติดพนันและเหล้าเป็นอย่างมาก (เป็นสาเหตุหลักทำให้โปเสียชีวิตก่อนวัยอันควร) ทำให้พ่อบุญธรรมเลิกส่งเสีย โปเลยออกจากมหาวิทยาเวอร์จิเนียและมุ่งหน้าลงเรือไปเมืองบอสตัน เริ่มทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์และตีพิมพ์ผลงานเล่มแรกแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไหร่นัก
- 1827 โปได้เกณฑ์ทหารใช้ทั้งชื่อและอายุปลอม โดยใช้ชื่อ "เอ็ดการ์ เพอร์รี่" ถูกไปประจำการที่ฟอร์ต มูลทรี เกาะซัลลิแวนส์ ซึ่งเป็นสถานที่แรงบันดาลใจให้เขียนเรื่อง The Gold Bug
- 1829 โปเบื่อชีวิตทหารและขอปลดประจำการ เขาอยากกลับเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยแต่แม่บุญธรรมของเขาก็ได้เสียชีวิตลงอีก เขาย้ายไปอาศัยอยู่กับ Maria Clemm ซึ่งเป็นป้าของโปและเวอร์จิเนีย (Virginia Eliza Clemm) ลูกพี่ลูกน้อง และนี้ก็คือภรรยาของโปนั้นเอง สุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน
- 1830 ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยทางการทหารแห่งสหรัฐอเมริกา เวสพอยต์ (United States Military Academy at West Point) ที่นิวยอร์กแต่โดนไล่ออกเพราะความประพฤติ
- 1831 กลับไปอยู่ที่รัฐบัลติมอร์กับป้า เวอร์จิเนียและพี่ชาย (ติดเหล้าและเสียชีวิตเพราะวัณโรค) โปมุ่งมันกับงานเขียนต่อไป และได้รับรางวัลครั้งแรกจากการส่งเรื่องสั้น MS. Found in a Bottle จาก Baltimore Saturday Visitor
- 1834 พ่อบุญธรรมเสียชีวิตลง และไม่ได้ยกสมบัติให้โปเลยซักนิด ต่อมา Thomas Willis White แห่ง Southern Literary Messenger เสนองานผู้ช่วยบรรณาธิการให้โปในเมืองริชมอนด์
- 1835 โปได้แต่งงานเงียบๆกับเวอร์จิเนียและป้าก็ได้ย้ายตามมาอยู่ด้วย
- 1837 โดนไล่ออกจากงานเพราะติดเหล้า ถึงจะทำงานได้ดีแค่ไหนก็ตาม โปย้ายไปอยู่นิวยอร์ค 1 ปีครึ่งทำให้ได้สร้างสรรค์ผลงานเขียนมากมายและได้รับการตีพิมพ์ลงนิตยสารชื่อดังหลายฉบับ ต่อมาย้ายไปที่เมืองฟิลาเดเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย และอาศัยอยู่ที่นั้นอีก 4 ปี ในระหว่างนั้นเขาทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารสองเล่ม จนกระทั่งนิตยสารสองเล่มได้ปิดตัวลงและนั้นก็ไม่ได้ทำให้โปหยุดสร้างสรรค์ผลงานเลยซักนิด
- 1842 เวอร์จิเนียเริ่มสุขภาพทรุดโทรม มีอาการไอเป็นเลือด ทำให้โปเครียดมาก
- 1844 โปย้ายกลับไปที่กรุงนิวยอร์คอีกครั้งเพื่อหางานใหม่ เขาได้เป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารเล่มหนึ่งก่อนโดนไล่ออกเพราะขาดความรับผิดชอบ เขาทำงานให้อีกนิตยสารอีกสองสามเล่มแต่เนื่องจากเขาดื่มเหล้าอย่างหนักทำให้เขาทำงานไม่ทันที่กำหนด หลังจากนิตยสารที่เขาทำงานได้ปิดตัวลง เขาก็หยุดสนใจงานเขียนและหันไปเป็นอาจาร์ยแทน
- 1846 ได้ย้ายไปที่เมืองฟอร์ดแฮมเพราะอาการของเวอร์จิเนียทรุดโทรมหนัก และตอนนี้โปไม่มีเงินซักแดงเพื่อมารักษาอาการของเวอร์จิเนียเลยทำให้อาการของเธอนั้นทรุดลงอย่างมาก
- 1847 สุดท้ายเวอร์จิเนียก็ได้ลาจากโปไป ทำให้โปนั้นเสียใจมากและแทบไม่เขียนเรื่องสั้นอีกเลยหลังจากเธอเสียชีวิต และเมื่อสภาพจิตใจเขาดีขึ้นเขาก็ได้กลับไปสอนและได้เขียนบทความเชิงวิจารณ์งานเขียนมากขึ้น ไม่ค่อยเขียนเรื่องสั้นๆเหมือนเมื่อก่อน
- 1849 โปได้มีโอกาสสนิทสนมกับ Sarah Elmira Royster แฟนเก่าในวัยเด็กและกำลังแต่งงานกันปีนั้น ก่อนงานแต่งงานเขาเดินทางโดยเรือไปรับป้าที่กรุงนิวยอร์คเพื่อมางานแต่งงาน เรือหยุดพักชั่วคราวที่บัลติมอร์รัฐแมริแลนด์ ที่นั้นโปหายตัวไปอย่างลึกลับและมีคนไปเจอตัวอีกทีที่หน้าร้านเหล้าไรอันซาลูนในตึกกันเนอร์สฮอลล์ ซึ่งเป็นสถานที่เลือกตั้ง ไม่มีใครทราบว่าโปพลัดหลงไปได้อย่างไร แต่ตอนที่คนเจอโป สภาพเขาย่ำแย่มาก เขาถูกพาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล Washington College
- สุดท้ายก็ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1849
โปนั้นเป็นคนสร้างกฏเหล็กในผลงานเขียนของเขานั้นก็คือ "ทุกอย่างควรจะเกิดขึ้นภายในวันเดียว ที่เดียวและเหตุการณ์เดียว และยังมีความสนใจเรื่องรหัสอยู่ไม่น้อย เรื่องรหัสที่ว่าก็คือการสร้างและแปลรหัส โปมักท้าทายผู้อ่านโดยการให้ผู้อ่านส่งปริศนามาให้เขาไขและทุกครั้งโปก็ไม่พลาดเลย เขาถอดรหัสของผู้อ่านได้ ความใฝ่ฝันของเขานั้นก็คือเปิดสำนักพิมพ์แต่ก็ไม่มีทางเป็นจริงหรือไม่เกิดขึ้น โปได้พบกับนักเขียนอีกท่านนึงนามว่า Charles Dickens ในขณะที่เขาเดินทางเพื่อมาบรรยายที่ประเทศอเมริกาซึ่ง Dickens ได้สัญญาจะนำผลงานของโปมาตีพิมพ์ในอังกฤษแต่น่าเสียดาย เวลาที่ตีพิมพ์นั้นไม่ทันตอนที่โปยังมีชีวิตอยู่ ถือว่าเป็นนักเขียนที่น่าสงสารท่านหนึ่งเพราะว่าไม่ได้แห่งผลงานของตัวเองที่ประสบความสำเร็จตอนยังมีชีวิตอยู่ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเล่มแรกของโปเรื่อง Tamerlane and other Poems ถูกขายไปในราคา 662,500 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประเมินได้ที่ 215,475,184 (สองร้อยกว่าล้าน..)
ผลงานเด่นๆของโปนั้นส่วนมากจะนำไปทำภาพยนตร์และคนส่วนใหญ่ก็ชอบมากเช่นกัน
และผลงานเรื่องสั้นของโปมากมายก็สะกดใจคนไปตามวรรณศิลป์ภาษาของเขา ส่วนมากคนจะชอบจะมี
- The black cat
- The fall of the house of Usher
- The masque of the red death
- The facts in the cause of M. Valdemar
- The premature burial
- M.S. found in a bottle
- A tale of Ragged mountains
- The Sphinx
- The murders of the Rue Morgue
- The tell-tale heart
- The gold bug
- The system of Dr.Tarr and Prof Fether
- The man that was used up
- The balloon hoax
- A descent into the maelstrom
- The purloined letter
- The pit and the pendulum
- The cask of Amontillado
*จะเขียนเรื่องย่อเป็นบางเรื่องที่สำคัญนะคะ*
The black cat
"เช้าวันหนึ่งผมเอาเชือกรัดคอมันและแขวนมันไว้กับต้นไม้ด้วยความเลือดเย็น ขณะที่ผมแขวนมัน น้ำตาผมไหลอาบแก้มหัวใจของผมเจ็บปวดขมขื่น ผมแขวนคอมันเพราะผมรู้ว่ามันรักผม และเพราะผมรู้ว่ามันไม่ได้ทำผิดอะไร ผมแขวนคอมันเพราะผมรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นบาป บาปอันใหญ่หลวงที่จะทำลายจิตวิญญาณอันอมตะของผม และในขณะเดียวกันผมก็เอามันวางไว้ในที่ที่แม้แต่พระเจ้าผู้ทรงเมตตาและผู้โหดร้ายก็ไม่สามารถเอื้อมถึงได้"
The masque of the red death
พรอสเพอโร ขุนนางผู้สูงศักดิ์
ดินแดนของเขาถูกคุคามโดยโรคระบาดที่เรียกว่า “มัจจุราชสีแดง”
เขาเชื้อเชิญเพื่อนฝูงผู้ร่ำรวยมาหลบภัยในคฤหาสน์หลังโตและปล่อยให้ชาวบ้านเผชิญหน้ากับชะตากรรมภายนอก
ระหว่างงานบอลรูมธีมหน้ากาก บุคคลลึกลับสวมผ้าคลุมก็ผ่านบุกเข้ามาในคฤหาสน์
พรอสเพอโรเข้าใจว่านี้คือแขกที่ไม่ได้รับเชิญและเผชิญหน้ากับบุคคลลึกลับแต่แล้วเขาก็ค้นพบว่านี้คือตัวตนของ
“มัจจุราชแดง” ทั้งพรอสเพอโรและแขกของเขาทุกคนต่างล้มป่วยและเสียชีวิตในเวลาไม่ช้า
ภายในเกราะกำลังที่ป้องกันไว้แน่นหนาจากโลกภายนอก
The Tell Tale Heart
ผู้บรรยายพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้เสียสติหลังจากเขาที่ได้ฆาตรกรรมเพื่อนร่วมห้องวัยชราด้วยอาการคลุ้มคลั้ง ซึ่งเกิดมาจากดวงตาเพื่อนร่วมห้องที่เขาได้คิดว่าเหมือน "อีแร้ง" ผู้บรรยายซ่อนศพเอาไว้ใต้พื้นห้องจากนั้นตำรวจได้มาถึงและได้สอบปากคำ ผู้บรรยายเริ่มได้ยินเสียงหัวใจที่ดังมาจากใต้พื้นห้องที่เขาซ่อนศพเอาไว้ มันได้เล็ดรอดมาจากช่องว่างระหว่างไม้บนพื้นห้องและทำให้เขาทนไม่ได้และสารภาพผิดต่อหน้าทุกคน
The Raven
เขียนหลังจากแฟนโปเสียชีวิต เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หดหู่ ซึมเศร้าตามสไตล์ของโปและผลงานนี้โปได้บรรจงเขียนจากความรู้สึกที่ได้กลั่นออกมาทำให้มีชื่อเสียงมากที่สุดในผลงานของโป เรื่องราวเกี่ยวกับชายผู้เศร้าโศรกจากการไปของภรรยานามว่า Lenore เขานั่งในคฤหาสน์ด้วยความโศรกเศร้าในยามค่ำคืน โดยมีอีกาพูดได้อาศัยเป็นเพื่อนเขาและเขาแทนอีกาตัวนี้ว่า "ผู้ส่งสารจากโลกหน้า" มาเกาะอยู่ข้างๆเขา ชายคนนั้นเริ่มจมลงไปกับความรู้สึกของตัวเองนั้นก็คือห้วงแห่งความเศร้า เขาเริ่มสติหลอนสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของภรรยาของเขา แต่ในขณะเดียวกันเจ้าอีกาก็ได้แต่พร่ำร้องเรื่อยไปว่า "Nevermore" หรือไม่อีกแล้ว .. (อยากให้อ่านเรื่องนี้มากๆเพราะตัวเราเองอ่านแล้วรู้สึกเศร้าตาม เหมือนเขากลั่นมาจากความรู้สึกข้างในลึกจริงๆ)
The pit and the pendulum
เล่าเรื่องผ่านสติสัมปัชชัญญะและเล่าจากมุมมองของนักโทษโดยถ่ายทอดความรู้สึกก่อนเขาจะลาโลกนี้ไป ต้องทนทุกข์ทรมานจากการไต่สวนของสเปนในความผิดที่ไม่สามารถระบุได้ (หรือเอาง่ายๆไม่รู้ว่าทำผิดอะไรไปและต้องมารับผิด) เขาถูกทรมานในห้องมืด ถูกนอนมัดอยู่ใต้แพนโดลัม ใบมีดขนาดยักษ์แกว่งไปมาและเคลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆ ความพิเศษของเรื่องสั้นนี้ก็คือ โปได้ถ่ายทอดความกลัวของมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม ความรู้สึกก่อนจะตาย จะรู้สึกอย่างไรถ้าหากคุณโดนนอนปิดตาแล้วใบมีดยักษ์กำลังแกว่งเขามาทุกทีๆ
The Cask of Amontillado
เรื่องราวนี้ได้เกิดแถบยุโรป มงเทรเซอร์มีความบาดหมางรุนแรงกับฟอร์ตูนาโต้
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคิดแก้แค้นฟอร์ตูนาโต้และรอคอยเวลาตลอดเวลา หลังจากนั้นไม่นานประจวบเหมาะพอดีที่ฟอร์ตูนาโต้เมาที่เทศกาลคานิวัล มงเทรเซอร์ล่อเขาไปในห้องเก็บไวน์ ด้วยคำสัญญาว่า "จะให้ดื่มไวน์เชอร์รี่ชั้นดีจากสเปน" จากนั้นเขาก็ได้ล่ามฟอร์ตูนาโต้ที่ร่างยังไม่สร่างเมาเท่าไหร่นักกับกำแพง ก่อนที่จะก่ออิฐขังไว้ในห้องเก็บไวน์เพื่อที่ฟอร์ตูนาโต้จะได้พักผ่อนไปตลอดกาล
The Gold Bug
เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งนามว่า William Legrand ที่ได้มีความทุกข์ทรมานหลังจากโดนกัดด้วยแมลงและหลังจากนั้นเขาก็ได้แจ้งกับเพื่อนสนิท ผู้บรรยายให้มาเยี่ยมเขาทันทีที่เกาะซัลลิแวนด์ที่เซาท์แคโรไลน่า เมื่อผู้บรรยายไปถึงแล้ว Legrand ได้ป่าวประกาศว่าจะไปหาสมบัติที่หายกับคนรับใช้ที่เป็น แอฟริกัน-อเมริกาจากดาวพฤหัส (จูปิเตอร์)
(และมีอีกมากมายหลายเรื่อง)
และยังไม่จบเพียงเท่านี้หลังจากโปได้เสียชีวิตลง โดยหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์ว่าเสียชีวิตเพราะสาเหตุ "ติดเชื้อในสมอง" น่าจะมาจากการดื่มสุรามากเกินไปแต่บันทึกทางการแพทย์ของโปนั้นไม่อยู่แล้วหรือหายสาปสูญไปแล้วนั้นเอง หลังจากตรวจที่โรงพยาบาลและหลังจากเขาตื่นเขาก็ได้ตะโกนขึ้นมาว่า "Reynolds! Reynolds!" และไม่มีใครรู้ว่า Reynolds คนนี้คือใคร หลังจากโปได้เสียชีวิตลงบางหลักฐานก็ได้ชี้ชัดว่าโปได้ตะโกน "Lord, help my poor soul!" แต่บางหลักฐานก็ได้กล่าวว่าเขาได้ตะโกนกลอนเกี่ยวกับพระเจ้าและซาตาน และหลังจากได้มีการสืบค้นคว้าข้อมูลมากมายนั้นที่ว่าโปตายเพราะติดเหล้ามากเกินไป และบางคนก็เชื่อว่าเพราะเชื้อโรคเช่น Cholera และ Rabies แต่ทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้เป็นที่สำคัญหรือไม่ปรากฏตัวมากในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่อเมริกา บางคนก็ได้คิดว่ามีคนฆ่าโป ไม่ว่าจะเป็นนักเลงที่ต่อยเขาจนน่วมหรือศัตรูของตัวโปเอง ยังไม่จบเพียงเท่านั้นทฤษฏีหนึ่งเชื่อว่าโปคือเหยื่อทางชั้นเชิงการเมืองที่เรียกว่า "Cooping" นั้นก็คือนักการเมืองจะส่งลูกสมุนไปกดดันประชาชนให้ลงคะแนนเสียงให้พวกเขาในการเลือกตั้งท้องถิ่น พวกเขามักติดสินบนด้วยเครื่องดื่มและเสื้อผ้าใหม่ที่มีการจัดเตรียมไว้ให้เพื่อ สินบนนี้คือไว้ปกปิดตัวตนของผู้กระทำความผิด และยังมีสาเหตุอีกมากมายที่ได้ออกมา
* และยังมีข้อสังเกตอีกว่าอาจจะเป็นนายแพทย์ Moran มีส่วนเกี่ยวข้องในการตายของโปเพราะมีพฤติกรรมแปลกๆก่อนโปจะเสียชีวิต เขาเล่าอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องแต่อย่างไรก็ตามไม่มีการสืบต่อ .. เพราะบันทึกการแพทย์ได้สูญหายไป*
โปเป็นนักเขียนดาร์กสุดกู่และความตายเป็นเรื่องที่เขาเขียนเป็นประจำ
สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้อ่านในปัจจุบันเป็นอย่างมาก แต่หลังจากเสียชีวิตแล้วเรื่องของโปยังไม่จบง่ายๆ หลังจากเขาเสียชีวิตมีบุคคลลึกลับไปเยี่ยมหลุมศพของโปในบัลติมอร์ (สุสานเวสต์มินสเตอร์ที่มุมถนนฟาเย็ตต์ตัดกับถนนกรีนนี่ในบัลติมอร์ตะวันตก) ทุกๆปี โดยทุกคนจะเรียกขานกันว่า Poe Toaster เขาสวมชุดดำ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุม มีผ้าพันคอปิดปากปิดจมูก สวมหมวกสักหลาดถือไม้เท้าเดินเข้าไปที่หลุมศพของโปทุกๆครบรอบวันเกิดของเขา จะดื่มคอนยัคบรั่นดีหนึ่งขวดเพื่อคารวะและวางคอนยัคที่เหลือ เครื่องดื่มไว้ครึ่งขวด พร้อมดอกกุหลาบแดง 3 ขวด ไว้หน้าป้ายหลุมศพทำแบบเดียวกันต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1949 จนถึง 1993 การมาของเขาคือช่วงเที่ยงคืนถึงตีห้า ในวันที่ 14 มกราคม 1983 มีการจัดงานชุมนุมแฟนของโปกว่า 70 คนเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบที่ 174 พอถึงเวลาตึหนึ่ง บรรดาคนในงานเหล่านั้นต่างตกใจเพราะเห็นร่างของบุคคลลึกลับเลาะไปตามริมรั้วด้านทิศตะวันออก ชายเสื้อคลุมปลิวไสว มีผมสีทอง ถือไม้เท้าเลี่ยมทองเหมือนโปชอบใช้ และเมื่อเขาจากไปก็พบบรั่นดีและดอกกุหลาย ต่อมาเขาก็ได้ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า "คบเพลิงจะถูกส่งต่อ" ทำให้เชื่อว่าเขากำลังจะเสียชีวิต แต่ในปี 1999 ก็ยังมีโน้ตวางไว้ยืนว่าคนเก่าเสียชีวิตแล้วและมีคนต่อไปที่ตามมา (คนไทยเรียกว่าผู้ดื่มคารวะโป) ไม่มีใครทราบว่าบุคคลลึกลับนี้คือใคร และพวกคนคลั่งไคล้โปก็ไม่อยากให้บุคคลลึกลับนั้นถูกเปิดโปง พยายามใช้มาตรการป้องกันคนไปรบกวนศพยามวิกาลและปฏิเศธคำให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบุคคลลึกลับทั้งหมด
ปริศนาก็กลับมาอีกครั้งในปี 2010 เมื่อบุคคลนิรนามนั้นได้หายไป คอนยัคและกุหลาบไม่มีอีกแล้ว ทำให้หลายคนสงสัยว่ารุ่นต่อมาหายไปไหน? หรือเขาจะเสียชีวิตและไม่มีรุ่นต่อ?
เจฟ เจอโรม ภัณฑรักษ์ของ "บ้านและพิพิธภัณณ์ของ Edgar Allan Poe" คือคนที่พบเห็นบุคคลลึกลับตั้งแต่ปี 1976 เขาได้กล่าวไว้ว่ารู้สึกสับสนและไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้มาเยือนลึกลับ เจอโรมและกลุ่มเพื่อนของเขาที่ชื่นชอบโปพากันไปที่สุสานเวสมินสเตอร์ เพื่อจะได้เฝ้ามองบุคคลลึกลับมาทำการดื่มคารวะโปทุกๆปี
เจฟฟรีย์ ซาวอยเปิดเผยว่าปรกติแล้วบุคคลลึกลับจะมาช่วงเที่ยงคืนถึงตึ 5ของวันที่ 19 (วันเกิดโป) "แต่ในเช้าวันนี้เขาไม่มา" ซาวอยกล่าว .. การหายไปของบุคคลลึกลับทำให้ผู้มาเฝ้ารอ 50 คนผิดหวัง ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้ปริศนาของคนๆนี้ดูลึกลับเข้าไปอีกและยังมีคนแอบอ้างตัว
ในปี 2007 แซม พอร์โพร่าได้อ้างว่าตนเองคือบุคคลลึกลับ เขาได้กล่าวว่า เขาคิดการกระทำนี้ในปลายทศวรรษ 1960 เพื่อทำให้ผู้คนแปลกใจ แต่เจอโรมในฐานะผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ปฏิเศธอย่างหนักแน่นว่าไม่ใช่ฝีมือของพอร์โพร่าแน่นอน พอร์โพร่าเป็นนักประวัติศาสตร์ในโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ เขาอ้างว่าเป็นบุคคลลึกลับเริ่มต้นในปี 1949 เป็นเรื่องที่กุขึ้นมาหลอกสื่อเพื่อจะนำเงินไปฟื้นฟูโบสถ์ แต่เจอโรมบอกว่ามีหลักฐานจากหนังสือพิมพ์ที่ระบุว่าบุคคลลึกลับมาตั้งแต่ปี 1950 โดยหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์คือ "Evening Sun" ในบัลติมอร์ และสิ่งที่พอร์โพร่าเล่าไม่ตรงกับความจริง มีช่องโหว่และเจอโรมได้กล่าวไว้ว่า
"ใหญ่มากพอที่จะขับรถบรรทุกผ่านเข้าไปได้"
นอกจากพอร์โพร่าแล้วไม่มีใครอื่นที่มาแอบอ้างตนเป็นบุคคลลึกลับที่หายไปแต่ล่าสุดก็มีคนสงสัยว่าบุคคลลึกลับเป็น กวีชาวบัลติมอร์นามว่า David Frank นี้มีนิสัยหยอกเย้าที่เสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราฟาเอล อัลวาเรซเพื่อนของแฟรงค์ และเป็นประธานของสมาคม Edgar Allan Poe ในบัลติเมอร์เปิดเผยว่า แฟรงค์เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตัวโปมาก และยังมีความขี้เล่น (..) ว่าเคยนำส่วนลับในร่างกายเขาเข้าเครื่องถ่ายเอกสารของสำนักงานกองทุนประกันสังคม และนำภาพที่ได้มาแสดง อีกหลายปีต่อมาเข้าแกล้งทำตัวพิการที่นั่งล้อเข็นขอรับบริจาคจากคนที่มุงดู ก่อนที่จะบอกขอบคุณและเดินจากไป .. และทั้งอัลวาเรซและเจอโรมก็ยังคงสงสัยในเรื่องนี้ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นแฟรงค์ โดยเจอโรมบอกว่าเขาเคยเห็นภาพของแฟรงค์และเขาไม่มีลักษณะคล้ายบุคคลนิรนามที่เจอโรมเฝ้าคอยดูทุกๆปี ขณะที่อัลวาเรซบอกว่าแฟรงค์ไม่ใช่แฟนกีฬาและมีท่าทีทางการเมืองเอียงไปทางฝรั่งเศสมากกว่าสหรัฐอเมริกา เรื่องอัลวาเรซพูดถึงหมายถึงโน้ตที่บุคคลลึกลับทิ้งไว้ทุกปี ซึ่งบางปีก็เกี่ยวกับสถานการ์ทั่วไปในโลก เช่นในปี 2001 โน้ตได้กล่าวไว้ว่า "การแข่งขันอเมริกันฟุตบอลซุปเปอร์โบวล์ที่ทีมบัลติมอร์ราเวน (ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นของโป) จะลงแข่งกับนิวยอร์คไจแอนท์" ขณะที่ปี 2001 ก็มีพูดถึงคอนยัคฝรั่งเศส โดยหลายคนเชื่อว่าโน้ตในปีนี้เป็นการด่าฝรั่งเศสกรณีที่มีจุดยืนต่อต้านสงครามอิรัก
ในปี 2006 มีผู้สนใจมาสืบว่าตกลงแล้วคือใคร? จนเจอโรมบอกเขารู้สึกไม่ดีที่มีคนมาทำลายความสงบ
ในปี 2007 มีคนมาหลุมศพโป 60 คนรวมถึงคนที่มาจากญี่ปุ่น โดยคราวนี้เจอโรวมบอกว่าผู้เข้าเยี่ยมปฏิบัติดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ในปี 2008 ก็เพิ่มขึ้นไปถึง 150 คน
ความสงสัยในตัวทุกคนไม่ได้แปลว่าต้องผันตัวมาเป็นนักสืบ
บางคนสงสัยว่าเจอโรมเองน่าจะรู้ตัวจริงของบุคคลลึกลับมานานแล้วหรือไม่เช่นนั้นตัวเขาเองนั้นแหล่ะที่เป็นบุคคลลึกลับนั้นเอง เจอโรมปฏิเศธทุกข้อกล่าวหา ถ้าเขาทำเช่นนั้นจริงเขาต้องตกงานแน่ๆ สิ่งที่เขารู้และอยากเก็บไว้เป็นความลับคือแค่ลักษณะท่าทางของผู้มาเยือนหรือบุคคลลึกลับเท่านั้น มีหลายคนถามว่าเจอโรม เหตุใดบุคคลลึกลับไม่มาในปี 2010 เจอโรมกล่าวว่าเป็นไปได้หลายอย่าง อาจป่วย อุบัติเหตุ หรือรู้สึกว่ามีคนรู้เยอะมากเกินไป เจอโรมตั้งข้อสันนิษฐานไว้อย่างหนึ่งเช่นกันว่า อาจจะเป็นเพราะปีที่แล้ว 2009 ครบรอบวันเกิด 200 ปีของโปพอดีตัวบุคคลลึกลับถึงเวลาสมควรแล้วที่จะหยุด
"เขาหยุดแล้วจริงหรือ พวกเราไม่รู้ว่าเขาหยุดจริงหรือเปล่าเขาอาจจะแค่ไม่มีในปีนี้เท่านั้นก็ได้"
เจอโรมได้กล่าวทิ้งท้ายไว้
horrorclub.net
freeformbooks.com
theguardian.com